ความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับแอร์ระบบInverterและระบบธรรมดา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
มักมีคำพูดที่ว่าแอร์ระบบInverterไม่เย็นฉำเท่าแอร์ระบบธรรมดา
ทั้งจากคนขาย ช่าง และผู้เคยใช้คำตอบนี้คือคือจริงครับ
แต่แอร์Inverterก็เย็นฉำได้เช่นเดียวกับแอร์ระบบธรรมดาได้
ถ้าปรับอูณหภูมิลงจากที่ตั้งเดิมสัก๒หรือ๓องศา รับรองว่าเย็นฉำแน่นอน
ถึงตอนนี้ก็จะมีคนสรุปว่ากินไฟมากกว่าเพราะตั้งอุณหภูมิตำกว่าระบบธรรมดา
แต่ผมยังยันยันว่ายังประหยัดกว่าแต่จะลดน้อยกว่าเมื่อตั้งอุณหภูมิเท่าแอร์ระบบธรรมดา
การทดสอบเรื่องนี้ต้องใช้เครื่องมือวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอลซึ่งวัดได้ละเอียดถึง0.1องศา เครื่องมือวัดกำลังไฟฟ้า(watt และ watthour meter) และห้องทดสอบพิเศษสำหรับทดสอบเครื่องปรับอากาศที่คุมอุณหภูมิและความชื้นภายนอกห้องทดสอบให้คงที่ตามมาตรฐานเครื่องปรับอากาศ(ASHARE)ในการทดสอบจะมี
การวัดอุณหภูมิในห้องทดสอบมากกว่า๑จุดวัดเพื่อหาค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิในห้องเนื่องจากจุดต่างๆในห้องจะมีอุณหภูมิที่ไม่เท่ากันครับอ่านมาถึงตอนนี้คงเริ่มงงกันมากกว่าเดิม โปรดใจเย็นๆครับการเอาความรุ้สึกของคนมาวัดจะมีปัญหาเนื่องจากความรู้สึกเย็นของคนจะแตกค่างกัน ขึ้นกับว่าเป็นคนชอบเย็นแบบที่ว่าฉำหรือพอรู้สึกเย็นก็พอ ดูๆได้ง่ายๆเวลาเข้าหน้าหนาว
บางคนพอเริ่มเย็นก็เริ่มใส่เสื้อกันหนาว แต่อีกคนบอกว่าเย็นสบายด้วยเสื้อปกติหลักการทำงานของระบบแอร์ธรรมดาจะใช้ThermostatควมคุมการเดินหรือหยุดของCompresser นั่นคือถ้ามีเครื่องขนาด13,000btu เครื่องจะจ่ายความเย็นให้13,000 หรือ0btu เมื่อCompresserเดินหรือหยุดตามลำดับ
การเดินและหยุดแบบนี้จะทำให้เกิดตวามแตกต่างของอุณหภูมิในห้องมากหรือน้อยขึ้นกับอุณหภูมินอกห้อง นอกจากนี้จะขึ้นกับระบบป้องกันการเดินCompresserใหม่ก่อน3ถึง5นาทีแล้วแต่ผู้ผลิต ถ้าอุณหภูมิภายนอกสูงจะรุ้สึกได้ว่าเริ่มร้อนเนื่องจากThermostatสั่งให้Compresserเดินแต่ระบบป้องกันยังไม่ให้เดินเนื่องจากเวลาป้องกันยังไม่ครบที่กำหนดไว้ นี่คือที่มาของความไม่สบายและทำให้ผู้ใช้ต้องปรับอุณหภูมิลงอีกเพื่อลดความรู้สึกร้อนให้น้อยลง
การนี้จะทำให้เปลืองไฟมากขึ้นการทำงานของระบบInverter ระบบนี้Compresserจะเดินตลอดเวลาแต่จะปรับBtu.ให้มากหรือน้อยตามความต้องการของอุณหภูมิที่ตั้ง อุณหภูมิของห้อง และอุณหภูมิภายนอกห้อง เครื่องขนาด13,000btuจะสามารถจ่ายความเย็นได้จากประมาณ7,000ถึง15,000btu ดังนั้นเมื่อเริ่มเดินเครื่องๆจะให้btuสูงกว่าเครื่องระบบธรรมดาทำให้เย็นเร็วขึ้นกว่าระบบธรรมดา เมื่ออุณหภูมิในห้องเริ่มเย็นลงใกล้จุดที่ตั้งไว้Computerควบคุมจะปรับให้Compresserลดbtuลงให้เหมาะกับสภาวะที่ได้อุณหภูมิที่ตั้งไว้
ดังนั้นอุณหภูมิในห้องจะคงที่เสมอไม่มีความแตกต่างมากเช่นระบบธรรมดา ซึ่งจะรู้สึกเย็นกว่าเนื่องจากอุณหภูมิจะต้องตั้งให้เย็นมากกว่าเพื่อชดเชยไม่ให้รู้สึกร้อนมากเมื่อCompresserตัดนานการปรับลดbtuของInverterนี่เองทำให้ประหยัดไฟได้มากกว่า และความสบาย(comfort)มีมากกว่า
อาจเข้าใจยากสักหน่อยนะครับ
อ้างอิง มาจาก pantip.com/cafe/home/topic/R6175595/R6175595.html
Kiatwattana
เกียรติวัฒนา แอร์ 591/11 สระบุรี 036 221977 Kiatwattana Air Saraburi ศูนย์ รวม ยี่ห้อ ชั้นนำ ราคา ประหยัด เครื่องปรับอากาศ แอร์ มิตซูบิชิ ไดกิ้น แอร์ แคเรียร์ อามีนา พานาโซนิค แอลจี ซัมซุง แอร์โตชิบา แอร์ติดผนัง แอร์ตั้งพื้น air, air condition compressor, condensor, อุปกรณ์ไฟฟ้า MITSUBISHI แอร์DAIKIN AMENA CARRIER PANASONIC LG
วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
แอร์สามแบบ (แขวนเพดาน,ติดผนัง,ตั้งพื้น) ต่างกันอย่างไร
ถามว่า แอร์สามแบบ (แขวนเพดาน,ติดผนัง,ตั้งพื้น) ยี่ห้อเดียวกัน , BTU เท่ากัน , เปิดที่ห้องเดียวกัน , อุณหภูมิเท่ากัน
แบบไหนจะเย็นและประหยัดไฟมากกว่ากัน...เท่าที่สังเกตุการใช้งานจริง เห็นว่า
1.แขวนเพดาน จะปล่อยลมเย็นจากด้านบนเพดานลงมาที่พื้น
2.ติดผนัง จะปล่อยลมจากผนังมาบริเวณกลางห้อง(ยกเว้นปรับให้จ่อลงพื้น)
3.ตั้งพื้น จะปล่อยลมเย็นมาที่ระดับพื้นโดยไม่ต้องปรับทิศทาง
ดูรูปแบบการใช้งานจริงๆแล้ว ไม่ว่าจะแอร์แบบไหน ก็มีจุดหมายการทำความเย็นอยู่ที่ระดับพื้นทั้งนั้น
ดังนั้น หากเราเลือกแอร์ที่มีรูปแบบการทำงานที่ให้ความเย็นที่พื้นดีที่สุด ก็จะทำให้ประหยัดไฟในการสร้างความเย็นได้ดีกว่า เพราะคนอยู่ในห้องก็อยู่ที่พื้น
คุณคิดว่าแบบไหนดีที่สุด
ถ้าที่สภาพแวดล้อมเดียวกัน และการรั่วไหลของอากาศ ความร้อนเท่ากัน คอมเพรสเซอร์เท่ากัน อัตราการใช้ไฟคงไม่ต่างกันส่วนแบบใหนดีที่สุดตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณการใช้ เช่นแบบหน้าต่าง ข้อดีคือซื้อมาเป็นกล่อง ติดตั้งเสร็จต่อไฟใช้งานได้เลย ไม่ต้องใช้เครื่องมือของช่างแอร์ได้เลย การสูญเสียกำลังงานที่ต้องส่งผ่านท่อยาวๆน้อยมาก แต่เสียงดังหน่อย และไม่ค่อยมีขนาด BTU สูงๆ สามารถนำไปติดตั้งในที่ที่ติดตั้งแบบแยกส่วนทำได้ยากส่วนแบบ 1,3 ถือว่าเป็นแบบเดียวกัน ต่างกันที่ตำแหน่งการติดตั้งคอยเย็น ถ้าพิจารณาในแง่การส่งผ่านลม ที่อากาศร้อนลอยขึ้น เป่าลมเย็นลง น่าจะกระจายลมได้ดีกว่า และฝุ่นไม่ค่อยขึ้นไปตัน แต่การล้างทำได้ลำบากถ้าติดตั้งข้างล่าง เป็นเครื่องดูดฝุ่นจากพื้นเข้าไปติดที่แผ่นกรองได้อย่างดี แต่ก็ถอดล่างได้ง่ายกว่าแขวนอยู่ข้างบน การกระจายลมก็ขึ้นอยู่กับทิศทางลมที่ปรับได้ ในบางสถานที่ ที่เพดานสูงมากไม่ต้องการส่งความเย็นให้ ขึ้นถึงข้างบน เขาอาจจำกัดทิศทางลมที่ต้องการแทน ให้เย็นเฉพาะที่ต้องการ ก็ช่วยประหยัดแอร์ได้เหมือนกันและบางห้องที่ติดแอร์ ซะอย่างดี แต่ทิศทางลมไปชนคาน หรือเป่าหลอดไฟแสงสว่างซะไอน้ำจับทำให้หลอดไฟมีปัญหาก็มีดังนั้นจึงตอบไม่่ได้ว่าแบบใดดีที่สุดแต่ผมว่าตำแหน่งการติดตั้งตัวควบคุมความเย็น นีก็สำคัญมากที่จะทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ถูกใจ สม่ำเสมอแค่ใหน
อ้างอิง จาก web pantip.com
แบบไหนจะเย็นและประหยัดไฟมากกว่ากัน...เท่าที่สังเกตุการใช้งานจริง เห็นว่า
1.แขวนเพดาน จะปล่อยลมเย็นจากด้านบนเพดานลงมาที่พื้น
2.ติดผนัง จะปล่อยลมจากผนังมาบริเวณกลางห้อง(ยกเว้นปรับให้จ่อลงพื้น)
3.ตั้งพื้น จะปล่อยลมเย็นมาที่ระดับพื้นโดยไม่ต้องปรับทิศทาง
ดูรูปแบบการใช้งานจริงๆแล้ว ไม่ว่าจะแอร์แบบไหน ก็มีจุดหมายการทำความเย็นอยู่ที่ระดับพื้นทั้งนั้น
ดังนั้น หากเราเลือกแอร์ที่มีรูปแบบการทำงานที่ให้ความเย็นที่พื้นดีที่สุด ก็จะทำให้ประหยัดไฟในการสร้างความเย็นได้ดีกว่า เพราะคนอยู่ในห้องก็อยู่ที่พื้น
คุณคิดว่าแบบไหนดีที่สุด
ถ้าที่สภาพแวดล้อมเดียวกัน และการรั่วไหลของอากาศ ความร้อนเท่ากัน คอมเพรสเซอร์เท่ากัน อัตราการใช้ไฟคงไม่ต่างกันส่วนแบบใหนดีที่สุดตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณการใช้ เช่นแบบหน้าต่าง ข้อดีคือซื้อมาเป็นกล่อง ติดตั้งเสร็จต่อไฟใช้งานได้เลย ไม่ต้องใช้เครื่องมือของช่างแอร์ได้เลย การสูญเสียกำลังงานที่ต้องส่งผ่านท่อยาวๆน้อยมาก แต่เสียงดังหน่อย และไม่ค่อยมีขนาด BTU สูงๆ สามารถนำไปติดตั้งในที่ที่ติดตั้งแบบแยกส่วนทำได้ยากส่วนแบบ 1,3 ถือว่าเป็นแบบเดียวกัน ต่างกันที่ตำแหน่งการติดตั้งคอยเย็น ถ้าพิจารณาในแง่การส่งผ่านลม ที่อากาศร้อนลอยขึ้น เป่าลมเย็นลง น่าจะกระจายลมได้ดีกว่า และฝุ่นไม่ค่อยขึ้นไปตัน แต่การล้างทำได้ลำบากถ้าติดตั้งข้างล่าง เป็นเครื่องดูดฝุ่นจากพื้นเข้าไปติดที่แผ่นกรองได้อย่างดี แต่ก็ถอดล่างได้ง่ายกว่าแขวนอยู่ข้างบน การกระจายลมก็ขึ้นอยู่กับทิศทางลมที่ปรับได้ ในบางสถานที่ ที่เพดานสูงมากไม่ต้องการส่งความเย็นให้ ขึ้นถึงข้างบน เขาอาจจำกัดทิศทางลมที่ต้องการแทน ให้เย็นเฉพาะที่ต้องการ ก็ช่วยประหยัดแอร์ได้เหมือนกันและบางห้องที่ติดแอร์ ซะอย่างดี แต่ทิศทางลมไปชนคาน หรือเป่าหลอดไฟแสงสว่างซะไอน้ำจับทำให้หลอดไฟมีปัญหาก็มีดังนั้นจึงตอบไม่่ได้ว่าแบบใดดีที่สุดแต่ผมว่าตำแหน่งการติดตั้งตัวควบคุมความเย็น นีก็สำคัญมากที่จะทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ถูกใจ สม่ำเสมอแค่ใหน
อ้างอิง จาก web pantip.com
เหตุผล ในการเลือกซื้อแอร์
วิธีการเลือกยี่ห้อและรุ่นแอร์
วิธีการเลือกยี่ห้อแอร์บ้าน
1. ก่อนการตัดสินใจซื้อ ควรพิจารณาเฉพาะแอร์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีปัญหาน้อย โดยสอบถามจากช่างแอร์จะดีที่สุดเพราะช่างแอร์จะรู้ว่าแอร์ยี่ห้อไหน รุ่นไหนมีปัญหามากน้อยเพียงใด (บางยี่ห้อไม่ค่อยคุ้นหูแต่อาจจะมีปัญหาจุกจิกไม่มากก็ได้)
2. สังเกตว่าแอร์ที่ขายในปัจจุบัน จะมีให้เลือกทั้งรุ่นฟอกอากาศและไม่มีฟอกอากาศ ซื่งทั้งสองรุ่นจะมีราคาสูงกว่ากันมาก ผมแนะนำว่าไม่ควรให้ความสำคัญกับเครื่องฟอกอากาศที่ติดมากับแอร์ในการตัดสินใจซื้อเท่าใดนัก เพราะเครื่องฟอกอากาศที่ติดกับแอร์นั้นมีประสิทธิภาพสู้เครื่องฟอกอากาศโดยเฉพาะไม่ได้ และแผ่นฟอกอากาศที่ติดมากับแอร์นั้นมีอายุการใช้งานไม่ถึงปี และหลังจากการใช้งานไป 1 ปีแล้วผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแผ่นฟอกอากาศอยู่แล้วจึงทำให้แอร์เครื่องนั้นมีค่าเท่ากับไม่มีแผ่นฟอกอากาศอยู่แล้ว
3. ในการเลือกซื้อแอร์ในปัจจุบัน ไม่ควรใช้แอร์มาตรฐานต่ำกว่าเบอร์ 5 เพราะนอกจากเราจะประหยัดเงินค่าไฟ ยังช่วยรัฐบาลประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิตกระแสไฟ อีกทั้งยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมไม่ให้ถูกทำลายจากการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย
4. เลือกใช้ รุ่นของแอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น
ห้องนอน แอร์ไม่ทำงานหนัก และต้องการความเงียบควรใช้แอร์แบบติดผนัง ไม่อยากให้แอร์มีเสียงดังควรใช้แอร์ติดผนัง แต่แอร์ติดผนังไม่เหมาะกับงานหนักเช่น ร้านอาหาร ห้องทำงาน ออฟฟิท ที่มีคนอยู่ และอุปกรณ์ไฟฟ้า และกลิ่นกระดาษเอกสารมากๆ ควรใช้แอร์ที่เหมาะสำหรับงานหนัก เช่นแอร์ตั้งแขวน ถ้าอยากได้แบบสวยงามก็ต้องใช้เป็นแบบแอร์ฝังฝ้าแต่แอร์แบบนี้มีราคาค่อนข้างแพง
ห้องอาหาร ร้านอาหาร โดยเฉพาะสถานบันเทิงถ้าใช้แอร์แบบตู้ตั้งก็จะทำให้ได้แรงลมที่ไกล แต่ก็มีข้อเสียคือต้องเสียพื้นที่ในการวางแอร์
5. หาขนาดแอร์ที่เหมาะสมกับขนาดห้องที่จะใช้งาน เพราะถ้าขนาดแอร์ใหญ่กว่าห้องจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเพราะคอมเพรสเซอร์ตัดต่อบ่อย(แอร์ทำงานแปปเดียวก็เย็นจัดจนต้องตัดการทำงาน) อีกทั้งยังเป็นสาเหตุให้เปลืองค่าไฟฟ้าโดยใช่เหตุ และถ้าแอร์ขนาดเล็กกว่าขนาดห้องจะทำให้แอร์ไม่ค่อยเย็น แอร์ทำงานหนักตลอดเวลา ทำให้เปลืองไฟอีกเช่นกัน และยังทำให้อายุการใช้งานของแอร์สั้นลงอีกด้วย
อ้างอิงมาจาก www.แอร์บ้านราคาถูก.com
วิธีการเลือกยี่ห้อแอร์บ้าน
1. ก่อนการตัดสินใจซื้อ ควรพิจารณาเฉพาะแอร์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีปัญหาน้อย โดยสอบถามจากช่างแอร์จะดีที่สุดเพราะช่างแอร์จะรู้ว่าแอร์ยี่ห้อไหน รุ่นไหนมีปัญหามากน้อยเพียงใด (บางยี่ห้อไม่ค่อยคุ้นหูแต่อาจจะมีปัญหาจุกจิกไม่มากก็ได้)
2. สังเกตว่าแอร์ที่ขายในปัจจุบัน จะมีให้เลือกทั้งรุ่นฟอกอากาศและไม่มีฟอกอากาศ ซื่งทั้งสองรุ่นจะมีราคาสูงกว่ากันมาก ผมแนะนำว่าไม่ควรให้ความสำคัญกับเครื่องฟอกอากาศที่ติดมากับแอร์ในการตัดสินใจซื้อเท่าใดนัก เพราะเครื่องฟอกอากาศที่ติดกับแอร์นั้นมีประสิทธิภาพสู้เครื่องฟอกอากาศโดยเฉพาะไม่ได้ และแผ่นฟอกอากาศที่ติดมากับแอร์นั้นมีอายุการใช้งานไม่ถึงปี และหลังจากการใช้งานไป 1 ปีแล้วผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแผ่นฟอกอากาศอยู่แล้วจึงทำให้แอร์เครื่องนั้นมีค่าเท่ากับไม่มีแผ่นฟอกอากาศอยู่แล้ว
3. ในการเลือกซื้อแอร์ในปัจจุบัน ไม่ควรใช้แอร์มาตรฐานต่ำกว่าเบอร์ 5 เพราะนอกจากเราจะประหยัดเงินค่าไฟ ยังช่วยรัฐบาลประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิตกระแสไฟ อีกทั้งยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมไม่ให้ถูกทำลายจากการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย
4. เลือกใช้ รุ่นของแอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น
ห้องนอน แอร์ไม่ทำงานหนัก และต้องการความเงียบควรใช้แอร์แบบติดผนัง ไม่อยากให้แอร์มีเสียงดังควรใช้แอร์ติดผนัง แต่แอร์ติดผนังไม่เหมาะกับงานหนักเช่น ร้านอาหาร ห้องทำงาน ออฟฟิท ที่มีคนอยู่ และอุปกรณ์ไฟฟ้า และกลิ่นกระดาษเอกสารมากๆ ควรใช้แอร์ที่เหมาะสำหรับงานหนัก เช่นแอร์ตั้งแขวน ถ้าอยากได้แบบสวยงามก็ต้องใช้เป็นแบบแอร์ฝังฝ้าแต่แอร์แบบนี้มีราคาค่อนข้างแพง
ห้องอาหาร ร้านอาหาร โดยเฉพาะสถานบันเทิงถ้าใช้แอร์แบบตู้ตั้งก็จะทำให้ได้แรงลมที่ไกล แต่ก็มีข้อเสียคือต้องเสียพื้นที่ในการวางแอร์
5. หาขนาดแอร์ที่เหมาะสมกับขนาดห้องที่จะใช้งาน เพราะถ้าขนาดแอร์ใหญ่กว่าห้องจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเพราะคอมเพรสเซอร์ตัดต่อบ่อย(แอร์ทำงานแปปเดียวก็เย็นจัดจนต้องตัดการทำงาน) อีกทั้งยังเป็นสาเหตุให้เปลืองค่าไฟฟ้าโดยใช่เหตุ และถ้าแอร์ขนาดเล็กกว่าขนาดห้องจะทำให้แอร์ไม่ค่อยเย็น แอร์ทำงานหนักตลอดเวลา ทำให้เปลืองไฟอีกเช่นกัน และยังทำให้อายุการใช้งานของแอร์สั้นลงอีกด้วย
อ้างอิงมาจาก www.แอร์บ้านราคาถูก.com
วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วิธีการเลือกแอร์
หลักการเลือกแอร์ติดบ้าน
-ให้คำนวณขนาดของห้องที่ติดตั้ง รวมไปถึงความสูงของห้องด้วย ถ้าเป็นความสูงปกติ 2-3 เมตร ให้ใช้ค่าในตารางได้เลย แต่ถ้าความสูงมากกว่า 3 เมตร ต้องมีการเผื่อบีทียูเข้าไปอีก ประมาณเมตรละ 3-5000 บีทียู
*12000 บีทียู = 1 ตัน
สำหรับแอร์แบบธรรมดา กับระบบ Inverter นั้นแตกต่างกันอย่างไร
หลักการเลือกแอร์ติดบ้านมีดังนี้
1.ความรู้สึกในด้านความเย็น แบบธรรมดา จะเย็นแบบที่เรียกว่าเย็นฉ่ำๆ อาการของแอร์แบบนี้ก็คือ มันจะมีการสวิงของอุณหภูมิค่อนข้างมาก เนื่องจากคอมพ์แอร์จะมีการทำงานเพื่อให้อุณหภูมิลดต่ำลงมามากกว่าจุดที่ตั้งไว้ พอได้อุณหภูมิต่ำกว่าจุดที่ตั้งไว้แล้วมันจะตัดการทำงาน จนกระทั่งอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นอีกครั้ง คอมพ์แอร์ก็จะเริ่มทำงานอีกครั้ง ซึ่งในช่วงที่คอมพ์แอร์ทำงาน อากาศมันก็จะเย็นฉ่ำสบายอุรา แต่ถ้าเป็นแบบ Inverter ความรู้สึกของความเย็นที่ได้สัมผัส จะเป็นแบบเฉื่อยๆ เรี่อย เหมือนจะไม่เย็น เพราะว่าตัว Inverter จะทำการปรับรอบการทำงานของคอมพ์แอร์ให้เหมาะสมกับอุณหภูมิ โดยจะพยายามทำให้อุณหภูมินิ่งที่สุด จะไม่มีการทำงานหนักเกินตัว เพื่อลดอุณหภูมิ (ยกเว้นตอนที่เปิดแอร์ใหม่ๆ หรือเลือกโหมด Powerful) ดังนั้นความเย็นที่ได้ก็จะไม่สวิงมากนัก ก็เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ค่อยเย็น แต่ถ้าลองออกไปนอกห้อง แล้วกลับเข้ามาใหม่ จะรู้สึกได้ว่ามันเย็น
2.เรื่องความประหยัด อันนี้จะขึ้นอยู่เวลาที่ใช้งาน ถ้าเปิดใช้นานๆ เปิดตลอด Inverter ประหยัดมากกว่าแน่นอน แต่ถ้าเปิดแค่ 4-5 ชั่วโมง อันนี้อาจจะไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่นัก (Inverter ประหยัดกว่านิดหน่อย) แต่ที่ได้เปรียบอีกอย่างของ Inverter ก็คือ ความเงียบ
3.งบประมาณอันนี้สำคัญเพราะ Inverter จะมีราคาสูงกว่าแบบธรรมดาที่ บีทียูเท่ากัน (ยกเว้นบางช่วงที่ลดล้างสต๊อค อาจจะได้ของถูก)
อ้างอิง จากเว็บ www.hometophit.com
-ให้คำนวณขนาดของห้องที่ติดตั้ง รวมไปถึงความสูงของห้องด้วย ถ้าเป็นความสูงปกติ 2-3 เมตร ให้ใช้ค่าในตารางได้เลย แต่ถ้าความสูงมากกว่า 3 เมตร ต้องมีการเผื่อบีทียูเข้าไปอีก ประมาณเมตรละ 3-5000 บีทียู
*12000 บีทียู = 1 ตัน
สำหรับแอร์แบบธรรมดา กับระบบ Inverter นั้นแตกต่างกันอย่างไร
หลักการเลือกแอร์ติดบ้านมีดังนี้
1.ความรู้สึกในด้านความเย็น แบบธรรมดา จะเย็นแบบที่เรียกว่าเย็นฉ่ำๆ อาการของแอร์แบบนี้ก็คือ มันจะมีการสวิงของอุณหภูมิค่อนข้างมาก เนื่องจากคอมพ์แอร์จะมีการทำงานเพื่อให้อุณหภูมิลดต่ำลงมามากกว่าจุดที่ตั้งไว้ พอได้อุณหภูมิต่ำกว่าจุดที่ตั้งไว้แล้วมันจะตัดการทำงาน จนกระทั่งอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นอีกครั้ง คอมพ์แอร์ก็จะเริ่มทำงานอีกครั้ง ซึ่งในช่วงที่คอมพ์แอร์ทำงาน อากาศมันก็จะเย็นฉ่ำสบายอุรา แต่ถ้าเป็นแบบ Inverter ความรู้สึกของความเย็นที่ได้สัมผัส จะเป็นแบบเฉื่อยๆ เรี่อย เหมือนจะไม่เย็น เพราะว่าตัว Inverter จะทำการปรับรอบการทำงานของคอมพ์แอร์ให้เหมาะสมกับอุณหภูมิ โดยจะพยายามทำให้อุณหภูมินิ่งที่สุด จะไม่มีการทำงานหนักเกินตัว เพื่อลดอุณหภูมิ (ยกเว้นตอนที่เปิดแอร์ใหม่ๆ หรือเลือกโหมด Powerful) ดังนั้นความเย็นที่ได้ก็จะไม่สวิงมากนัก ก็เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ค่อยเย็น แต่ถ้าลองออกไปนอกห้อง แล้วกลับเข้ามาใหม่ จะรู้สึกได้ว่ามันเย็น
2.เรื่องความประหยัด อันนี้จะขึ้นอยู่เวลาที่ใช้งาน ถ้าเปิดใช้นานๆ เปิดตลอด Inverter ประหยัดมากกว่าแน่นอน แต่ถ้าเปิดแค่ 4-5 ชั่วโมง อันนี้อาจจะไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่นัก (Inverter ประหยัดกว่านิดหน่อย) แต่ที่ได้เปรียบอีกอย่างของ Inverter ก็คือ ความเงียบ
3.งบประมาณอันนี้สำคัญเพราะ Inverter จะมีราคาสูงกว่าแบบธรรมดาที่ บีทียูเท่ากัน (ยกเว้นบางช่วงที่ลดล้างสต๊อค อาจจะได้ของถูก)
อ้างอิง จากเว็บ www.hometophit.com
เครื่องปรับอากาศ
Kiatwattana Air Saraburi เกียรติวัฒนาแอร์
ที่อยู่ 591/11 สระบุรี
โทร (036) 221-977 ,222-486
ขายเครื่องปรับอากาศสระบุรี
ศูนย์ รวม ยี่ห้อ ชั้นนำ ราคา ประหยัด เครื่องปรับอากาศ แอร์เคลื่อนที่
แอร์ มิตซูบิชิ ไดกิ้น แอร์ แคเรียร์ อามีนา แอลจี แอร์โตชิบา
แอร์ติดผนัง แอร์ตั้งพื้น air, air condition compressor, condensor,
อุปกรณ์ไฟฟ้า MITSUBISHI แอร์DAIKIN AMENA CARRIER
ที่อยู่ 591/11 สระบุรี
โทร (036) 221-977 ,222-486
ขายเครื่องปรับอากาศสระบุรี
ศูนย์ รวม ยี่ห้อ ชั้นนำ ราคา ประหยัด เครื่องปรับอากาศ แอร์เคลื่อนที่
แอร์ มิตซูบิชิ ไดกิ้น แอร์ แคเรียร์ อามีนา แอลจี แอร์โตชิบา
แอร์ติดผนัง แอร์ตั้งพื้น air, air condition compressor, condensor,
อุปกรณ์ไฟฟ้า MITSUBISHI แอร์DAIKIN AMENA CARRIER
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)